“เกิด แก่ เจ็บ ตาย” คือสิ่งที่คู่กันกับการประกันชีวิตเสมอ

มาในหัวเรื่องวันนี้ ก็อยากมาเน้นถึงเรื่องที่ทุกๆคนบนโลกนี้ไม่สามารถจะหนีพ้นไปได้ คือ เรื่องสัจธรรมของชีวิต ซึ่งก็คือ เรื่อง “เกิด แก่ เจ็บ ตาย”

เกิด แก่ เจ็บ ตาย

เพราะ ทุกๆวันก็มีคนเกิดใหม่ทุกๆวัน และมีคนเสียชีวิตทุกวันเช่นกัน รวมถึง ระหว่างมีชีวิตก็จะอาจจะมีป่วย ทั้งป่วยหนัก ทั้งป่วยเบา หรือบางคนก็อายุยืน บางคนก็อายุสั้น ซึ่งก็คงไม่มีใครสามารถจะกะเกณฑ์หรือบอกได้ว่า เราจะป่วย อุบัติเหตุเมื่อไหร่ หรือเกิดมาแล้วจะมีอายุยืนกี่ปี ก็คงไม่มีใครบอกได้

และจากเหตุผลข้างต้นที่กล่าวไว้ว่า ไม่สามารถมีใครบอกได้ว่าจะเจ็บป่วย จะเกิดอุบัติเหตุ หรือจะอายุยืนไปถึงเมื่อไหร่ ซึ่งก็อาจจะไม่ได้จำเป็นอะไรกับเรื่องประกันชีวิตหรอก ถ้าการเจ็บป่วย การอุบัติเหตุ หรือ การอายุสั้น หรือ อายุยืน นั้นไม่ได้สร้างปัญหาอะไรกับคนรอบข้างหรือครอบครัว

แต่ความจริงก็คือส่วนใหญ่ของการเจ็บป่วย อุบัติเหตุ และการเสียชีวิต นั้น ได้สร้างความเสียหายให้กับครอบครัว ตนเอง หรือ คนรอบข้าง นั่นเอง

จึงทำให้ต้องมีการคิดค้นวิธีการแก้ปัญหา หรือเพื่อบรรเทาปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น จึงคิดค้นกลายเป็น สินค้าการเงินที่สามารถจัดการความเสี่ยงหรือบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้นได้ เรียกว่า “การประกันชีวิต”

ซึ่งเราสามารถใช้ “การประกันชีวิต” มาแก้ปัญหาต่างๆได้ดังนี้

1 หากเกิดกรณีเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ รายได้อาจจะหยุดลงทั้งชั่วคราวหรือถาวร เพราะ ความสามารถในการทำงานอาจจะลดลงหรือทำงานไม่ได้ก็เป็นได้
รวมไปถึงค่ารักษาพยาบาลที่อาจจะเป็นภาระหนัก หากการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุนั้นร้ายแรงหรือรุนแรง เช่นอาจจะเป็นมะเร็ง อุบัติเหตุหรือป่วยหนักๆ ต้องพักฟื้นเป็นเวลานาน

ซึ่งการประกันชีวิตที่สามารถมาแก้ปัญหานี้ได้ก็คือ ประกันอุบัติเหตุ ประกันสุขภาพ ประกันโรคร้ายแรง ประกันค่าชดเชยรายได้ เป็นต้น ซึ่งถ้าหากเกิดเหตุดังกล่าวกับเรา ก็ทำให้ภาระต่างๆถูกโอนไปให้ประกันชีวิตที่เราทำ รับผิดชอบแทนเรา หรือลดความเสียหายให้เรา ก็ได้

2. หากเสียชีวิตในอายุที่สั้นเกินไป ปัญหาที่เกิดขึ้นแน่ๆคือความสูญเสียรายได้ในอนาคต ที่จะหายไปตลอดกาล
เช่น หากมีรายได้ 50,000 บาทต่อเดือน แต่กลับเสียชีวิตเมื่ออายุน้อยๆ ก็เท่ากับว่า คนๆนั้นได้ทิ้งรายได้ที่จะได้รับใน 20 ปีในอนาคตคือมูลค่า 12 ล้านบาทเรียบร้อยแล้ว

ปัญหาที่ตามมาคือ ภาระที่อาจทิ้งไว้ให้กับคนข้างหลัง เช่น หนี้ผ่อนบ้านที่ค้างอยู่ หรือค่าเล่าเรียนลูกในอีก 15 ปีข้างหน้า ใครจะรับผิดชอบ

หรือหากคนที่ยังไม่มีครอบครัวหรืออายุน้อยๆแล้วเกิด เสียชีวิตเร็วเกินไป ก็ให้พิจารณาถึงคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ที่อุปการะว่า เค้าได้เสียเงินเสียทองช่วยเลี้ยงดูเรามา หรือค่าเล่าเรียนมา ยังไม่ได้ทดแทนพระคุณเลย กลับต้องเสียชีวิตไปก่อน ก็ดูน่าเสียดายแทน

ดังนั้น หากมีประกันชีวิต ก็ จะช่วยให้รายได้ในอนาคตที่จะหายไป ยังคงมีเหมือนเดิม หรือ อาจได้เป็นเงินค่าทดแทนพระคุณคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ที่อุปการะ ก็สามารถทำได้

3. หากเสียชีวิตในอายุยืนเกินไป ซึ่งจริงๆ ดูเหมือนจะเป็นข่าวดีที่อายุยืน แต่ในอีกมุมตรงข้าม การมีอายุยืนมากๆ ก็มีปัญหาคือ เงินที่เราต้องใช้หลังเกษียณนั้นจะมาจากไหน

ซึ่งเราก็ต้องเตรียมเงินให้ได้มากๆ อีกด้วย ดังนั้น การประกันชีวิต จึงเป็นวิธีการที่ช่วยให้ลูกค้า สามารถเก็บออมอย่างเป็นระบบ ทุกเดือน ทุกๆปี เพื่อทำให้ความมั่งคั่งของเรานั้นมั่นคงขึ้นก็ได้

ซึ่งจากการตรวจสอบสินค้าการเงินอื่นๆ แทบไม่มีระบบการออมที่บังคับคนออมเก็บเงินให้ได้ต่อเนื่องๆเลย ถ้าไม่ใช่การออมกับระบบประกันชีวิต ซึ่งอาจจะเป็นกรมธรรม์ประเภทสะสมทรัพย์ ก็เป็นได้

ดังนั้น จากตัวอย่างจะเห็นว่า ความไม่แน่นอนของชีวิตเรา คือความแน่นอน เช่นคนเราอาจจะมีปัญหา 2 อย่างก็ได้เช่น อาจจะป่วยหนักแถมอายุสั้นด้วย จะแก้ปัญหาอย่างไร หรือ มีทั้งปัญหาเจ็บป่วย แถมอายุยืนด้วยจะทำยังไง

โดยสรุปคือ คนเราเมื่อเกิดมาแล้ว ยังไงก็จะต้องเจอกับเหตุการณ์ “ แก่ เจ็บ ตาย” แน่นอน

ซึ่ง การประกันชีวิต คือ สินค้าทางการเงินชนิดเดียวในโลกที่สร้างมาเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว

สุดท้ายนี้จึงขอให้ทุกๆคน ลองไปทบทวนว่าเรายังมีเรื่องอะไรที่ต้องกังวล แล้วรีบวางแผนประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ประกันโรคร้ายแรง รวมไปถึงประกันแบบสะสมทรัพย์ เพิ่มเติมเพื่อให้เพียงพอกับสิ่งที่เรายังขาดอยู่กันนะครับ

By
สุรกิจ พิทักษ์ภากร
นักวางแผนการเงิน CFP ‪
#‎wealthplanner‬

*** มุ่งให้คนไทยมีสุขภาพการเงินที่ดี ***

ใส่ความเห็น